12 สุดยอดเมืองท่องเที่ยวของประเทศเยอรมัน

 

12 สุดยอดเมืองท่องเที่ยวแสนสวยของประเทศเยอรมัน

 

เยอรมัน อีกหนึ่งประเทศยอดฮิตในยุโรปที่ควรหาโอกาสไปเยือนซักครั้งในชีวิต ตั้งอยู่บริเวณตอนกลางของยุโรป และเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งสหภาพยุโรปด้วยสกุลเงินในเยอรมันจึงเป็นยูโร เศรษฐกิจที่นี่ใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก มีการนำเข้าส่งออกมากที่สุดเป็นอันดับ 3 แถมดัชนีพัฒนาการมนุษย์นั้นก็สูงเอามากๆ เลยทีเดียว ความเจริญของเยอรมัน สถาปัตยกรรม กับภูมิประเทศที่ตั้งซึ่งเต็มไปด้วยที่เที่ยวทางธรรมชาติที่สวยงามนั้น ได้ดึงดูดใจผู้คนจากทั่วโลกให้อยากไปท่องเที่ยวเยอรมันอย่างไม่ขาดสาย ไม่เพียงเท่านี้ การท่องเที่ยวเยอรมันนั้น จะไปฤดูใดก็มีสถานที่เที่ยวสวยๆ ให้เราไปเยือน

 

1.มิวนิค (Munich)

เมืองที่ได้รับการขนานนามเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์เยอรมัน อยู่ทางใต้ของประเทศ ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เบียร์ เมืองแห่งนี้ได้รับการจัดอันดับเป็นเมืองที่มีเศรษฐกิจเข้มแข็งที่สุดในประเทศเยอรมนีเชียวนะ และยังเป็นบ้านของทีมฟุตบอลมืออาชีพที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลกอย่างสโมสรฟุตบอลบาเยิร์นมิวนิกอีกต่างหาก มิวนิคเป็นเมืองที่ร่ำรวยศิลปะและสถาปัตยกรรมแบบบารอก เต็มไปด้วยเสน่ห์และกลิ่นอายของวัฒนธรรมแบบบาวาเรียนแท้ๆ เมื่อก้าวเท้าเข้าสู่เขตเมืองมิวนิค คุณจะได้เห็นโบสถ์รูปทรงโดมแฝดคู่หนึ่ง สูงตระหง่านท่ามกลางท้องฟ้ากว้าง โบสถ์แห่งนี้มีชื่อว่า โบสถ์เฟราเอ่นเคียร์ชเช่อ (Frauenkirche)

โกธิก โบสถ์พระแม่มารีทรงหัวหอมคู่ที่ใหญ่ที่สุดในมิวนิก สร้างตามแบบฉบับโกธิก เป็นสัญลักษณ์ที่สำคัญที่สุดของเมืองนี้ไม่คืและด้วยความเป็นเมืองหลวงแห่งเบียร์ มาเยือนมิวนิคทั้งทีต้องไม่พลาดชมโรงเบียร์แบบพื้นเมืองเยอรมันฮอฟบราวเฮาส์ ที่ตั้งอยู่บริเวณจัตุรัสพลาตเซิลในตัวเมืองมิวนิค และหากมาช่วงกลางเดือนกันยายนเป็นต้นไป คุณจะมีโอกาสได้เข้าร่วมงานเทศกาลเบียร์เยอรมัน อ็อกโทเบอร์เฟสต์(Oktoberfest) เทศกาลเบียร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกที่จัดขึ้นทุกปี

 

2.ไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg)

เมืองที่ตั้งของมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก มหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ อายุกว่า 600 ปี ไฮเดลเบิร์กอยู่ทางตอนใต้ของเมืองแฟรงค์เฟิร์ต วางตัวอยู่บนบนเนินเขา ซึ่งมีแม่น้ำเนคการ์ไหลผ่าน เป็นเมืองที่สุดแสนจะคลาสสิคและโรแมนติคอย่าบอกใคร มีการแบ่งเขตออกเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เมื่อคุณย่างเข้าไปยังบริเวณตัวเมืองเก่า คุณจะพบบ้านเรือนสวยงามกับสถาปัตยกรรมเก่าๆ ตั้งอยู่เรียงราย โดยมีแม่น้ำเนคคาร์ (Neckar) แม่น้ำสายหลักของเมืองคั่นกลาง และยังได้พบกับปราสาทไฮเดลเบิร์ก (Heidelberg Castle)

ปราสาทเก่าแก่ไฮไลท์เด่นของเมือง ที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก การเดินทางขึ้นไปยังปราสาททำได้ 2 วิธี คือ เดินขึ้นไปหรือนั่งรถราง เมื่อเท้าคุณก้าวย่างสู่เขตปราสาทคุณจะได้สัมผัสกับกลิ่นอายและเสน่ห์ชวนหลงใหล กับธรรมชาติสวยงามแวดล้อมที่ทำให้รู้สึกราวกับว่ากำลังเดินอยู่ในเทพนิยายหรือไม่ก็กำลังอยู่ในยุคของลอร์ดออฟแลนด์ที่มีอัศวิน เจ้าชาย และเจ้าหญิง ภายในปราสาทมีห้องเก็บไวน์ที่มีถังบ่มไวน์ขนาดยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เรียกว่า Great Barrel และเมื่อกลับลงมาจากปราสาท คุณจะได้พบกับเอกลักษณ์อีกแห่งของไฮเดลเบิร์ก นั่นคือ สะพานคาล ธีโอดอร์ ฮ้อยส์ บรุคเคอ (Karl-Theodor-Heuss Brücke) สะพานเก่าแก่ของเมืองที่เชื่อมเมืองทั้งสองฝั่งแม่น้ำไว้ด้วยกัน

 

3.แฟรงค์เฟิร์ต (Frankfurt)

เมืองแห่งศูนย์กลางการเงิน ตั้งอยู่อยู่ริมฝั่งแม่น้ำไมน์ ทางตะวันตกของประเทศ ที่นี่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการเงินการธนาคารของโลก รวมถึงเป็นที่ตั้งของธนาคารกลางยุโรป ตลาดหลักทรัพย์ของเยอรมนี และสถาบันการเงินนานาชาติอีกกว่า 300 แห่ง สนามบินแฟรงค์เฟิร์ตจัดเป็นสนามบินที่มีความคับคั่งของการจราจรทางอากาศมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เพราะเมืองแห่งนี้ได้เชื่อมต่อการเดินทางระหว่างสนามบินและรถไฟ ทำให้คุณสามารถเดินทางเข้าออกจากเมืองนี้ไปยังเมืองต่างๆ ของเยอรมันได้อย่างง่ายดาย ที่นี่จึงมีอาคารแสดงสินค้าที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่มากที่สุดในเยอรมัน มีการจัดงานแสดงสินค้าต่างๆ มากมาย เช่น งานแสดงสินค้าตกแต่งบ้าน งานแสดงสินค้าสำหรับเทศกาลคริสต์มาส หากคุณไปเยือนในช่วงเวลาการจัดงานดังกล่าว ก็จะพบกับความอลังการยิ่งใหญ่ของขบวนสินค้าหลากหลาย ที่รอให้คุณได้ช้อปปิ้งกลับไป แฟรงค์เฟิร์ตอาจดูเป็นเมืองที่มีความทันสมัย เต็มไปด้วยอาคารสูงตามแบบฉบับเมืองใหม่ แต่ที่นี่ก็ยังมีแหล่งท่องเที่ยวเก่าแก่ที่มีเรื่องราวความเป็นมาน่าสนใจไม่แพ้เมืองอื่นๆ อย่างมหาวิหารเซนท์บาร์โทโลมิว (Saint Bartholomew) มหาวิหารที่เป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิค และโบสถ์เซนต์พอล (Saint Paul) อนุสรณ์ประวัติศาสตร์ และสัญลักษณ์ทางการเมือง เพราะเคยเป็นที่เลือกตั้งตามระบบรัฐธรรมนูญแห่งแรกของเยอรมันและที่เมืองนี้ยังสวนพฤกษศาสตร์ ที่เต็มไปด้วยดอกไม้และสัตว์นานาชนิดให้ได้ไปพักผ่อนหย่อนใจ เรียกว่าในความพลุกพล่านของเมืองยังมีความสงบ

 

4.เบอร์ลิน (Berlin)

เมืองหลวงแห่งประวัติศาสตร์ อดีตสัญลักษณ์สำคัญของการแบ่งโลกเป็นสองขั้วอำนาจ เมืองแห่งนี้ตั้งอยู่บนแม่น้ำสปรีและฮาเฟลไปทางตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนี โอบล้อมด้วยรัฐบรานเดนบวร์ก มีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่โลกต้องจดจำ เพราะหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เบอร์ลินได้ถูกแบ่งออกเป็นสองประเทศ และในช่วงภาวะตึงเครียดของสงครามเย็น กำแพงเบอร์ลินก็ได้ถูกสร้างขึ้นเพื่อกั้นเขตแดนแบ่งความเป็นเยอรมันตะวันตกและเยอรมันตะวันออก เรียกว่าเมื่ออย่างเข้าสู่เบอร์ลินคุณจะได้สัมผัสถึงร่องรอยแห่งอดีตที่หลงเหลือไว้เป็นสถาปัตยกรรมอันงดงามมากมายหลายแห่ง หนึ่งแห่งที่สำคัญและหากมาแล้วไม่ไปเยือนก็เหมือนว่ามาไม่ถึงเบอร์ลิน ก็คือ ประตูบรานเดนบวร์ก (Brandenburger Tor)

สัญลักษณ์สำคัญของเมือง ที่ยังหลงเหลือเส้นแนวกำแพงเดิมให้นักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกได้เห็นถึงอดีตอันเลวร้ายของสงคราม นอกจากสถาปัตยกรรมทางประวัติศาสตร์ที่น่าไปเยือนแล้ว เบอร์ลินยังมีศูนย์กลางความบันเทิงอันทันสมัยอย่างหอโทรทัศน์แฟร์นเซทวร์ม (Fernsehturm) ที่อเล็กซานเดอร์พลาทซ์ (Potsdamer Platz) อาคารที่สูงเป็นอันดับสองในสหภาพยุโรป คุณสามารถมองเห็นหอโทรทัศน์แห่งนี้ได้จากเกือบทุกเขตศูนย์กลางของเมือง นักท่องเที่ยวนิยมขึ้นไปนั่งรับประทานอาหารกินลมชมวิวเมืองเบอร์ลินกันแบบชิลๆ

 

5. ฮัมบูร์ก (Hamburg)

เมืองท่าใหญ่อันดับสองของเยอรมัน ตั้งอยู่บริเวณใต้สุดของคาบสมุทรจั๊ดแลนด์ในยุโรป ได้รับการขนานนามว่า “ประตูสู่โลก” (Gateway to the World) เพราะมีท่าเรือขนาดใหญ่และมีความคึกคักมากเป็นอันดับสองของสหภาพยุโรปอย่างท่าเรือฮัมบูร์ก ที่นี่กลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งที่สำคัญและถือเป็นหนึ่งใน เมืองที่รวยที่สุดในยุโรปไปโดยปริยาย แหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจจึงหนีไม่พ้นบริเวณท่าเรือ เมื่อคุณก้าวเท้าเข้าสู่เมืองนี้ คุณจะได้พบกับห้างร้านที่สำคัญๆ ของเยอรมนี และสถาบันการเงินหลายต่อหลายแห่ง รวมถึงธนาคารที่เก่าแก่ในเยอรมันอย่าง ธนาคารแบร์มเบริก นักท่องเที่ยวนิยมแวะเดินเที่ยวกินบรรยากาศเก่าๆ ที่ย่านซังท์เพาลี (St. Pauli) ย่านเก่าแก่ของเมือง ซึ่งในปัจจุบันรู้จักกันดีในชื่อ ย่านแสงสีแดง (Red-Light District) และเที่ยวชมความงดงามของเหล่าอาคารคลังสินค้าที่สร้างขึ้นจากอิฐสีแดงที่โกดังชไปเคอชตัท (Speicherstadt ) โดยหนึ่งในคลังสินค้าที่เก่าแก่ที่สุดที่ชื่อว่า เคชไปเคอร์ บี (Kaispeicher B) ได้กลายมาเป็นเป็นพิพิธภัณฑ์การเดินเรือระหว่างประเทศในปัจจุบัน

 

6. เดรสเดิน (Dresden)

 

เมืองท่องเที่ยวเก่าแก่ริมฝั่งแม่น้ำเอลเบอ (Elbe River) ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของกรุงเบอร์ลิน เป็นเมืองเก่าอีกแห่งที่เต็มไปด้วยความสวยงามและน่าสนใจ แบ่งเขตเมืองออกเป็นเขตเมืองเก่าและเมืองใหม่ เขตเมืองเก่า เรียกว่า ออลท์แสตดท์ (Altstadt) เป็นส่วนของสถานที่ท่องเที่ยวมีดีกรีได้รับการจดทะเบียนเป็นมรดกโลกด้านวัฒนธรรม และขอบอกว่าเมื่อคุณมาถึงอาณาบริเวณเขตเมืองเก่า คุณจะไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมที่นี่ถึงได้รับการขึ้นทะเบียน แทบทุกจุดของเขตเมืองเก่า เต็มไปด้วยความสวยงามที่ได้รับการบูรณะซ่อมแซมจากความเสียหายจากสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 จนงดงามน่าทึ่ง รับรองว่าคุณจะยกกล้องถ่ายรูปขึ้นเก็บบรรยากาศความงามกันแทบไม่ทัน แหล่งท่องเที่ยวหลักๆ ที่นักท่องเที่ยวนิยมไปเก็บภาพความทรงจำ เริ่มต้นที่บริเวณ “ตลาดใหม่นอยมาร์ค” (Neumarkt) เพราะบริเวณนี้เป็นที่ตั้งของโบสถ์ฟราวเอนเคียเช่อ (Frauenkirche)

โบสถ์โปรเตสแตนท์สายตรงจากมาร์ติน ลูเธอร์ ที่ได้รับการบูรณะใหม่จนสวยงาม และที่ด้านหน้าโบสถ์จะมีอนุสาวรีย์ของมาร์ติน ลูเธอร์ตั้งอยู่ด้วย อีกหนึ่งจุดที่งดงามและน่าสนใจไม่แพ้กันคือ เฟอร์เต็นซูก (The Fürstenzug) กำแพงที่ได้รับการประดับประดาด้วยกระเบื้องที่ยาวที่สุดในโลก มีความยาวถึง 101 เมตร แต่เดิมเป็นภาพเขียนสีบรรยายถึงขบวนเสด็จของเจ้าแห่งแซกโซนี (Saxony) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 จนถึงองค์สุดท้ายในศตวรรษที่ 20 และผู้สืบทอดราชวงศ์ Wettins แต่ด้วยสภาพอากาศและกาลเวลาทำให้ภาพเขียนสีเกิดความเสียหายและถูกลดทอนความงดงามลงไปมาก ในปี ค.ศ. 1907 จึงได้มีการนำกระเบื้องเคลือบพอร์ชเลนกว่า 25,000 ชิ้น มาปิดทับแทน และตั้งแต่นั้นมากำแพงแห่งนี้ก็คงความงดงามรอนักเที่ยวมาเยี่ยมชมจนถึงปัจจุบัน

 

7. โคโลญจน์ (Cologne)

เมืองแห่งน้ำหอมและมหาวิหารสวยงามและยิ่งใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ ตั้งอยู่ทางภาคตะวันตกของประเทศ จัดเป็นเมืองเก่าแก่ที่สุดของเยอรมัน สร้างขึ้นโดยชาวโรมันตั้งแต่สมัย ค.ศ. 50 กันเลยทีเดียว มหาวิหารสำคัญของเมือง ที่ชื่อว่า เคิล์นโดม (Cologne Cathedral) เป็นมหาวิหารโคโลญจน์แห่งเดียวที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโกเมื่อปี 2536 จัดเป็นไฮไลท์ของเมืองที่นักเที่ยวไปเที่ยวชมมากที่สุด วิหารแห่งนี้ ใช้เวลาสร้างยาวนานถึง 600 ปีเชียวนะ และปัจจุบันก็ยังมีการบูรณะซ่อมแซมอยู่ตลอด เมื่อคุณไปหยุดยืนยังบริเวณของมหาวิหาร คุณจะสัมผัสได้ถึงความงดงาม อลังการและยิ่งใหญ่ของสถาปัตยกรรม โดมแฝดใหญ่ยักษ์สไตล์โกธิคที่ใหญ่และสูงที่สุดในสมัยอดีต เมื่อถ่ายรูปคู่กับตัววิหารทั้งหมด คุณจะพบว่าตัวเองตัวเล็กนิดเดียว บริเวณใกล้กับวิหาร จะมีสะพานสายสำคัญทอดยาวข้ามแม่น้ำไรน์ เชื่อมตัวเมืองโคโลญจน์ทั้งสองฝั่งเข้าด้วยกัน นั่นคือ สะพานโฮเฮนโซลแลร์นบรุคเคอ (Hohenzollernbrucke) เป็นอีกไฮไลท์ที่คุณห้ามพลาดเด็ดขาด บริเวณราวสะพานจะเต็มไปด้วยกุญแจของเหล่าคู่รักนักท่องเที่ยวที่นำมาติดไว้มากมาย เป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์สำคัญของการมาเยือนโคโลญจน์ ยังไม่หมดแค่นั้นนะ โคโลญจน์ยังมีพิพิธภัณฑ์ช็อกโกแลตบนตึกลอยน้ำริมแม่น้ำไรน์ มีดีที่น้ำพุช็อกโกแลต คุณจะได้เจอเจ้าหน้าที่ใจดีคอยนำวาฟเฟิลอุ่นๆ มาให้จุ่มกับช็อคโกแลตทานเล่นระหว่างเดินเที่ยวชมในพิพิธภัณฑ์ และอย่าลืมแวะช้อปปิ้งน้ำหอมที่ “ออดิโคโลญจน์ 4711” จะได้ไม่เสียที ที่มาเที่ยวเมืองน้ำหอม

 

8. พอทสดัม (Potsdam)

 

เมืองมรดกโลกของเยอรมัน ตั้งอยู่บนแม่น้ำฮาเฟิล ทางตะวันออกของประเทศ มีชายแดนติดกับเบอร์ลิน เมืองแห่งนี้อุดมไปด้วยความสวยงามของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ มีทะเลสาบเชื่อมต่ออยู่ทั่วทั้งพื้นที่ของเมือง สถาปัตยกรรมของเมืองแห่งนี้อย่างหมู่บ้านดัตช์ ที่มีบ้านเรือนจำนวน 134 หลัง ปลูกสร้างด้วยอิฐสีแดงสามชั้นในสไตล์แบบดัตช์ เป็นเหมือนกับแม่แหล็กดึงดูดให้นักท่องเที่ยวมาเยี่ยมชมและเก็บภาพประทับใจกลับไป เมืองแห่งนี้โดดเด่นในความงามของธรรมชาติและสถาปัตยกรรมพระราชวังซองส์ ซูซี (Sanssoucci Palace)

เป็นหนึ่งในสถานที่สำคัญของเมืองที่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ภายใต้ชื่อ "พระราชวังและสวนแห่งพอทสดัมและเบอร์ลิน" เมื่อย่างเท้าเข้าไปยังบริเวณ จะพบความสวยงามให้ความรู้สึกไร้กังวลเหมือนดั่งความหมายของชื่อพระราชวัง ความงดงามของพระราชวังแห่งนี้ทำให้ถูกจัดเป็นคู่แข่งกับพระราชวังแวร์ซายส์ที่ฝรั่งเศสกันเลยทีเดียว แต่ซองส์ ซูซี มีเอกลักษณ์ในความที่ดูเป็นส่วนตัวมากกว่า และรูปสถาปัตยกรรมเป็นแบบบารอก พระราชวังอีกหนึ่งแห่งที่น่าท่องเที่ยวไม่แพ้กันคือ Orangery Palace (Orangerieschloss) เป็นพระราชวังสไตล์อิตาเลียนเรอเนสซองส์สร้างโดยพระเจ้าฟรีดริชที่ 4 มีไว้ต้อนรับแขกบบ้านแขกเมืองในอดีต และชื่อเกี่ยวกับส้มเพราะมีการปลูกสวนส้มไว้เป็นที่เดินเล่นชมวิว นอกจากพระราชวังสวยๆ พอทสดัมยังมีสถานที่แห่งความทรงจำให้หวนนึกถึงอดีตการแบ่งแยกประเทศ อย่างสะพานกลีนิเคอ (Glienicker Brücke / The Bridge of Spies) สะพานข้ามแดนระหว่างโลกตะวันตกกับตะวันออกในอดีต ที่ปัจจุบันกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเยอรมันที่ดึงดูดใจผู้คนจากทั่วโลก

 

9. โรเธนเบิร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber)

เมืองสวยขนาดเล็กที่ตั้งอยู่ในรัฐบาวาเรีย เป็นเมืองในยุคกลางที่ยังคงสภาพความสวยงามแบบเดิมๆ คือ บ้านเป็นแบบก่อ
อิฐ มีหลังยอดแหลม สีแดงสด เมืองโรเทนบวร์ก ออบ เดียร์ เทาเบอร์ (Rothenburg ob der Tauber) หรือ เรียกสั้นๆว่า เมืองโรเทนบวร์ก เมืองเก่าแก่ของจักรวรรดิ์ฟรังค์ ในเขตบาวาเรีย (Bavaria) ประเทศเยอรมนี ปัจจุบันเมืองโรเทนบวร์ก

ได้กลายมาเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก เมืองโรเทนบวร์ก เป็นเมืองโบราณตั้งอยู่ภายในวง

ล้อมของกำแพงเมือง ถือว่าเป็นเมืองที่ค่อนข้างมีประวัติศาสตร์อันแสนโรแมนติก ของเยอรมนีเช่นกัน อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลาง

เมืองทางประวัติศาสตร์ และแนวกำแพงป้องกันเมืองดั้งเดิมบ่งบอกถึงความรุ่งเรืองของเมืองที่ทำการค้าไวน์, โค, กระบือ

และขนสัตว์ ที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1274 จัตุรัสกลางเมือง (Plönlein)  ในชุมชน มีซอยเล็กซอยน้อย มี ศาลาว่าการเมือง

(Rathaus)ศาลากลางจังหวัด รูปทรงเก่า ที่ยังคงไว และอาคารบ้านเรือนสร้างแบบผนังปูนประกอบบนคานไม้ Fachwerk

Haus ทางเดินเท้าแคบๆ เล็กๆ เป็นถนนเก่าอัดด้วยก้อนหินตัดเหลี่ยม COBBLE STONE กันล้อรถม้าลื่นในตอนหิมะตกอิสระให้ท่านเดินชมเมืองสวยแห่งนี้ ตามอัธยาศัย ไม่ว่าจะเป็น พิพิธภัณฑ์ของเล่น หอนาฬิกา โดยเฉพาะตามร้านค้าต่างๆของเมืองจะมีป้ายร้านค้าที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเมืองนี้



10. แบมเบิร์ก (Bamberg)

 

ศูนย์กลางของการท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากเป็นอันดับต้นๆของประเทศเยอรมัน(Germany) เนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่ของเมืองนั้นถือว่าเป็นศูนย์รวมทางประวัติศาสตร์ที่มีความโดเด่นทางด้านสถาปัตยกรรมและมรดกทางวัฒนธรรมที่ได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีอีกด้วย  ชมอดีตศาลากลางเก่า (Altes Rathaus) ซึ่งตั้งอยู่ในกลางของสะพานที่สร้างขึ้นเพื่อใช้ข้ามแม่น้ำเร็กนิทซ์ (Regnitz River) โดยอาคารถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1386 ชมมหาวิหารแบมเบิร์ก (Bamberg Cathedra)

หรือชื่อเป็นทางการว่า มหาวิหารแบมแบร์กเซนต์ปีเตอร์และเซนต์จอร์จ (Bamberger Dom St. Peter und St. Georg) มีความสำคัญเป็นที่ตั้งของสังฆมณฑลของอัครบาทหลวงแห่งเมืองแบมเบิร์ก (Bamberg) โดยมหาวิหารถูกสร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบโรมานเนสก์ สร้างครั้งแรกในปี ค.ศ.1004 โดยจักรพรรดิเฮนรีที่ 2 (Henry II) ซึ่งแล้วเสร็จในปี 1012

 

11.วืสบวร์ก(Wurzburg) 


เมืองนี้ว่าไปแล้วก็ผ่านศึกสงครามมามากพอดู ครั้งที่หนักที่สุดก็เห็นจะเป็นเมื่อเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1945 เมืองวืสบวร์ก (Wurzburg) ถือว่าเป็นเมืองที่น่าทึ่งอีกเมืองหนึ่งเลยทีเดียว เพราะร่องรอยทางประวัติศาสตร์ของเมืองนี้ยังคงเห็นได้อย่างชัดเจน เหมือนยังอยู่ตรงนั้นมาตลอดทั้งๆ ที ราว 90% ของเมืองนี้ถูกฝ่ายสัมพันธมิตรโดยกองทัพอากาศอังกฤษทิ้งระเบิดถล่มจนราบเป็นหน้ากลองภายในเวลาเพียง 20 นาที และตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีหลังสงครามได้มีความพยายามอย่างสูง ที่จะบูรณะสภาพเมืองโดยทำลอกเลียนแบบของเก่า และแรงงานที่มาบูรณะเมืองก็จะมีแต่แรงงานที่เป็นผู้หญิงเท่านั้น (เพราะผู้ชาย...ถ้าไม่ตายในสงคราม ก็ถูกจับเป็นผู้ต้องขัง)  พาทุกท่านเดินมุ่งหน้าไปยังย่านใจกลางเมือง โดยเริ่มจาก โบสถ์ใหญ่ประจำเมือง “Dom St.Kilian” ซึ่งมีอายุเบาะๆ แค่กว่า 900 ปีเอง มหาวิหารนี้เคยถูกไฟไหม้เสียหายยับเยินจากสงครามโลกครั้งที่สองมาแล้ว  จากนั้นอิสระท่านบริเวณโซนถนนสำหรับคนเดินเท้านี้ เดินทอดน่องไปเรื่อยๆ ท่านจะพบกับ สะพานหินเก่าแก่ข้ามแม่น้ำไมน์ “Alte Main Bruecke” สะพานนี้สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1473 กินระยะเวลากว่า 70 ปีจึงแล้วเสร็จ โดยสร้างขึ้นบนฐานของสะพานเดิมซึ่งมีอยู่ก่อนหน้าตั้งแต่เมื่อครั้งยุคโรมันเรืองอำนาจ ส่วนรูปปั้นของเหล่านักบุญ คนสำคัญต่างๆ ที่ประดับอยู่บนสะพานนั้น ถูกสร้างขึ้นมาในภายหลังเมื่อราวปีค.ศ. 1730 และที่ไม่พลาดเป้าอีกเช่นกันคือ สะพานนี้ก็ถูกระเบิดบอมบ์ เสียเละ เรียกว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เมืองนี้ทั้งเมืองโดนระเบิดจนบักโกรกสะบักสะบอมแต่ก็เป็นเรื่องน่าทึ่งอัศจรรย์ ที่หลังสงครามเขาสามารถบูรณะสิ่งก่อสร้างต่างๆ ที่เสียหายให้กลับมามีสภาพ คล้ายของเดิมไว้ได้เกือบทั้งหมด แถมมีบางสถานที่ถูกซ่อมแซมชุบฟื้นคืนชีพขึ้นมา

 

12.นูเรมเบิร์ก (Nuremberg)

นูเรมเบิร์กนั้นได้รับสมญานามว่าเมืองแห่งเทพนิยายของเยอรมัน หากใครเป็นคนที่ชื่นชอบความสวยงามของธรรมชาติ ขุนเขาสลับซับซ้อน ปราสาทราชวังแบบในการ์ตูน ทางเดินโรยกรวด ปูหินแบบยุคกลาง โบสถ์สวยเก่าแก่ หิมะที่ปกคลุมขาวโพลนไปทั่วทั้งเมือง ต้องที่นี่เลยเพราะนูเรมเบิร์กนั้นเสมือนดังเมืองแห่งเทพนิยายที่ได้รับการรักษาเอาไว้ได้อย่างสมบูรณ์

แต่ก่อนที่จะมาอยู่ในสภาพในปัจจุบันนี้ ใครจะไปเชื่อว่าเมืองที่งดงามดั่งรูปวาดจะเคยเข้าสู่ศูนย์กลางแห่งไฟสงคราม?? ฮิตเลอร์ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นกองบัญชาการทางการทหารเพื่อต่อสู่ในสงครามโลกครั้งที่ 2 และเมืองทั้งเมืองก็กระโดดเข้าสู่สงครามเต็มรูปแบบ จนในที่สุดก็โดนสัมพันธ์มิตรถล่มเสียยับเยิน ต้องชื่นชมชาวเมืองนูเรมเบิร์กและคนเยอรมันทั้งประเทศที่ร่วมมือร่วมใจกันกอบกู้เมืองให้กลับมาอยู่ในสภาพใกล้เคียงของเดิมมากที่สุด นูเรมเบิร์กนั้นเป็นเมืองแห่งประวัติศาสตร์ของแคว้นบาวาเรีย เป็นเมืองในยุคกลางที่สามารถย้อนอดีตกลับไปได้จนถึงศตวรรษที่ 10 ยุคจักรวรรดิโรมันเรืองอำนาจ และยังเป็นศูนย์กลางของชาวโรมันที่ยังคงทิ้งอดีตต่างๆ ไว้ให้ดูต่างหน้าอยู่ทุกที่ไม่ว่าจะเป็นถนนตั้งแต่ยุคกลางที่เอาหินก้อนใหญ่มาปูทำพื้น บ้านเรือนที่ปลูกสร้างสไตล์โรมัน ต่อมาก็พัฒนามาเป็นเมืองศูนย์กลางทางการค้า การอุตสาหกรรม มีกษัตริย์ปกครองที่นี่มาก่อน เพราะฉะนั้นเราก็จะสามารถพบเห็นปราสาทแสนสวยอยู่บนเนินเขาได้ทั่วไปในเขตแคว้นนี้ ปราสาทนูเรมเบิร์กหรือ Kaiserburg Castle ปราสาทในเทพนิยายตั้งอยู่บนยอดเขาสูง ท่ามกลางหมู่ป่าสนที่รายล้อมป้องกันภัยให้แก่ผู้อยู่อาศัย เมื่อขึ้นไปชมที่ด้านบนปราสาทก็จะทำให้อดเคลิบเคลิ้มไม่ได้ว่าเรานั้นเสมือนเป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายของปราสาทแห่งนี้ ในยามฤดูหนาวก็จะมีหิมะปกคลุมไปทั่ว เกิดความสวยงามแบบเหงาๆ ส่วนในฤดูร้อน ดอกไม้ที่นี่จะแย่งกันชูช่อให้เหล่าแมลงมาเชยชม ณ บริเวณตัวเมืองเก่า ถนนทางเดินจะปูหินแบบยุคกลาง ทำให้อดนึกถึงวันเวลาในอดีตของเมืองนี้ไม่ได้ อาคารรัฐสภาที่มีสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค บ้านเรือนนั้นเป็นแบบทิวดอร์ดูสวยงามรับกับโบสถ์สไตล์โกธิคที่ดูอลังการ โบสถ์ประจำเมืองที่อยู่มาตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ณ ที่แห่งนี้มีให้ดูกันอย่างไม่รู้เบื่อ ไม่ว่าจะเป็น โบสถ์เนต์ลอเรนซ์ ที่มีน้ำพุสวยที่ชื่อ Schoner Brunnen น้ำพุที่นี่หากใครต้องการอธิษฐานก็ให้หมุนแหวนที่น้ำพุ 3 ครั้ง ก็จะได้สมใจ โบสถ์เซนต์อลิซาเบ็ต หรือว่าจะเป็น โบสถ์เซนต์คลาร่าก็มีความงดงามไม่แพ้กัน

 

ตลาดคริสมาสก็เป็นอีกแหล่งที่จะได้สัมผัสชีวิตคนท้องถิ่น ถ้านูเรมเบิร์กเป็นหนังสือ เนื้อหาในเล่มนั้นก็จะมีเรื่องราวทั้งเจ้าหญิงเจ้าชาย สนุกสนาน สงครามเศร้าเคล้าน้ำตา แต่สุดท้ายก็จะจบลงอย่างมีความสุขเหมือนเทพนิยายที่เราชอบอ่านในวัยเยาว์ นูเรมเบิร์กเมืองที่มีมนต์สะกดของความงามและอดีตที่รุ่งเรือง จนเราอดไม่ได้ที่จะหลงรักมัน

 

 

 

Visitors: 203,684